วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

วิดีโอออนดีมานต์ (Video on demand)



วิดีโอออนดีมานต์ (Video on demand) คือบริการสื่อมัลติมีเดีย หรือภาพยนตร์ตามความต้องการของผู้ชมในแต่ละบ้าน ผู้ชมสามารถติดต่อขอรับบริการจากผู้ให้บริการเพื่อเลือกภาพยนตร์ที่ต้องการ รับชม แล้วมีค่าใช้จ่ายต่อเรื่องตามที่ผู้ให้บริการกำหนด บริการลักษณะนี้ได้ครับความนิยมในต่างประเทศ เนื่องจากผู้ชมเคารพกฎหมายลิขสิทธิ์ ไม่ขวนขวายหาภาพยนตร์ หรือเพลงมาบริโภคฟรี เพราะหลักความสมเหตุสมผลระบุไว้ว่าถ้าต้องการความบันเทิงจากศิลปินที่หา เลี้ยงชีพด้วยการผลิตสื่อความบันเทิงเพื่อจำหน่าย ผู้รับสื่อก็ต้องจ่าย ดังคำว่าของฟรีไม่มีในโลก ของดีไม่มีถูก

วิดีโอคลิปกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวแล้ว เพราะความเร็วของอินเทอร์เน็ตสูงขึ้นในราคาค่าบริการที่ต่ำลง จำนวนชุมชนห่างไกลที่เข้าถึงมีเพิ่มขึ้นทุกขณะ ประกอบกับเว็บไซต์ youtube.com, metacafe.com, dailymotion.com หรือ mthai.com ได้พัฒนาบริการของตนในการเป็นศูนย์รับเผยแพร่วิดีโอคลิปฟรีเป็นไปอย่างต่อ เนื่อง ปัจจุบันเราสามารถสืบค้นวิดีโอคลิปเกือบทุกประเภทได้จากอินเทอร์เน็ต ด้วยการค้นจาก google.com หรือแหล่งบริการที่เผยแพร่ อาทิ วิดีโอช่วยสอน หรือคลิปละครที่ผู้ชมตามบ้านไม่จำเป็นต้องตั้งเวลาบันทึกเทปเหมือนในอดีต เพราะสถานีโทรทัศน์บางช่องบันทึกไว้แล้วเผยแพร่ละครของตนย้อนหลังตามจัด เรียงตามวันที่ออกฉาย
ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่เคยชมวิดีโอคลิปจากเว็บไซต์ youtube.com แต่คงมีไม่มากนักที่เห็นประโยชน์ของการมีรหัสผู้ใช้และรหัสผ่านสำหรับเข้าไป ใช้บริการ การส่งวิดีโอคลิปไปเผยแพร่จำเป็นต้องมีรหัสผู้ใช้ แต่ปัจจุบันมีบริการสำหรับผู้ใช้กลุ่มที่ไม่มีวิดีโอคลิปเป็นของตนเอง แต่ต้องการเก็บบันทึกรายการวิดีโอของคนอื่นเข้าไปใน favorites เพื่อบันทึกเรื่องที่ชื่นชอบตามรายชื่อกลุ่ม (Play lists) ที่ตนเองสนใจ แล้วสั่งเปิดเล่น (Play) ตามคิวเสมือนวิดีโอออนดีมานต์ที่ปล่อยให้เล่นไปอัตโนมัติ เช่น สร้างคิววิดีโอคาราโอเกะของตนจากคลิปที่มีในอินเทอร์เน็ต จนบางครั้งเผลอคิดไปว่าใครนะช่างขยันอัพโหลดเพลงลิขสิทธิ์เข้าสู่ระบบกัน จริง แล้วศิลปินเขาจะขายเพลงได้อย่างไร ส่วนเพลงสากลนั้นทำไม่ได้ เพราะเคยมีนักศึกษาฝึกสร้างมิวสิกวิดีโอ แล้วมีเพลงสากล พบว่า youtube.com ลบวิดีโอนั้นออกจากระบบ

วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ตัวอย่างโฆษณา เครื่องปรุงรสอาหารในแบบต่างๆ




ในนาทีนี้ เว็บไซต์เครือข่ายสังคมที่กำลังโตวันโตคืน โดยเฉพาะ Twitter และ Facebook ได้มีความสำคัญในฐานะสื่อใหม่ที่ทุกองค์กรควรใช้เป็นช่องทางในการประชาสัมพันธ์ตัวตนบนโลกออนไลน์ รับรู้ว่าใครพูดถึงคุณมากแค่ไหน และไม่ว่าคุณจะสนใจมันหรือไม่ มันก็จะเกิดขึ้นอย่างที่มันเป็นอยู่ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณควรจะติดตามเฝ้าดูคำสนทนาเหล่านั้น และวิเคราะห์มันให้เกิดประโยชน์ให้จงได้
บทความนี้จะนำเสนอทิปเล็กๆ สำหรับการเฝ้าดูและวิเคราะห์คำสนทนาในเครือข่ายสังคม เพื่อที่คุณจะประเมินได้อย่างถูกต้องว่า แบรนด์ของคุณมีชื่อเสียงแค่ไหนในโลกออนไลน์ ควรบริหารชื่อเสียงนั้นอย่างไร รวมทั้งโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้องค์กรของคุณ เพื่อความกระชับ จึงขอแบ่งเนื้อหาออกเป็นสองตอน โดยตอนแรกนี้จะพูดถึงประโยชน์ของการรับฟังการพูดถึงแบรนด์ของคุณในเครือข่ายสังคม ส่วนตอนที่สองจะพูดถึงการใช้งานและการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการรับฟังเบื้องต้น
source: http://ar.omarnas.com/2010/01/facebook-icon-typography-تجربة-2/

รับรู้และเข้าใจถึงชื่อเสียงในโลกออนไลน์ของคุณ

นอกจากในสื่อเก่าแล้ว เราควรติดตามการพูดของสื่อในโลกออนไลน์ รวมทั้งเสียงจากบล็อกเกอร์และลูกค้าด้วย จากการศึกษาเรื่อง “การวิเคราะห์การเพิ่มขึ้นของผลกระทบจากสื่อเครือข่ายสังคมและสื่อใหม่อื่นๆ ที่มีต่อการประชาสัมพันธ์” พบว่า
  • 88% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าบล็อกและสื่อเครือข่ายสังคมทำให้เกิดการสื่อสารระหว่างผู้ใช้กับแบรนด์ได้ทันทีทันใดมากขึ้น เพราะมันเป็นเครื่องมือที่ช่วยส่งเสริมให้องค์กรมีการตอบรับคำวิจารณ์ได้รวดเร็วขึ้น
  • 73% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าบล็อกและสื่อเครือข่ายสังคมทำให้การสื่อสารของแต่ละองค์กรเปลี่ยนแปลงไป
  • กว่า 90% ของผู้ตอบแบบสนทนาสนับสนุนการใช้งานวิจัยมาวัดผลกระทบที่บล็อกและสื่อเครือข่ายสังคมมีต่อองค์กรของพวกเขา แต่มีเพียง 39% ที่บอกว่าบริษัทของพวกเขามีการวัดเช่นนี้แล้ว

ไม่สนใจไม่ได้หมายความว่ามันจะหายไปเอง

สิ่งที่คุณควรทราบคือ ไม่ว่าองค์กรของคุณจะเข้าร่วมการสนทนาหรือไม่ หากคำสนทนาเหล่านั้นจะเกิดขึ้นมันก็จะเกิดขึ้นและเป็นอยู่อย่างนั้น องค์กรของคุณอาจมีชื่อเสียงเพิ่มขึ้นทั้งในแง่บวกและแง่ลบได้จากโพสท์เดียวหรือความคิดเห็นเดียว ดังนั้นการบริหารจัดการชื่อเสียงและภาพลักษณ์ขององค์กรจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
นอกจากแบรนด์ของคุณเองแล้ว การติดตามชื่อเสียงของคู่แข่งในโลกอินเทอร์เน็ตก็สามารถทำได้ สื่อที่ผู้ใช้เป็นผู้สร้างขึ้นอย่างเช่นบล็อกหรือฟอรัมในเครือข่ายสังคมสามารถบอกเราได้ว่าตอนนี้ใครกำลังมีปัญหาอะไรบ้าง และสิ่งที่ทุกองค์กรควรทำคือเฝ้าดูสิ่งที่ผู้ใช้แชร์กับเพื่อนของเขาและคนทั้งโลกแล้วเข้าไปตอบสนองให้ทันท่วงที
source: http://www.freeiconsweb.com/Free-Twitter-Icon-Set.html

สร้างโอกาสให้องค์กร

การตอบสนองและแก้ไขความไม่พึงพอใจของผู้ใช้ เป็นเพียงวัตถุประสงค์หนึ่งของการเฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกอินเทอร์เน็ต ซึ่งด้วยสิ่งเดียวกันนี้คุณสามารถใช้มันในการสร้างโอกาสให้กับองค์กรของคุณได้ ด้วยกิจกรรมเหล่านี้
  • การวิเคราะห์การแข่งขัน – การเฝ้าดูทั้งตัวคุณเองและคู่แข่งของคุณจะทำให้เกิดการเปรียบเทียบและบอกตำแหน่งของแบรนด์ของคุณในตลาด สิ่งที่ผู้ใช้พูดไม่ว่าจะเป็นการพูดถึงคุณหรือคู่แข่งของคุณต่างมีความสำคัญเท่าเทียมกัน การเฝ้าดูสิ่งที่ผู้ใช้พูดถึงคู่แข่งของคุณจะทำให้คุณพบจุดแข็งและจุดอ่อนของผลิตภัณฑ์เหล่านั้น ซึ่งเป็นข้อมูลที่แบรนด์ของคุณสามารถนำไปใช้พัฒนาแผนธุรกิจ และทำให้คุณรับรู้ความต้องการที่แท้จริงของผู้ใช้ได้เช่นกัน
  • วิสัยทัศน์ของผู้นำตลาด – การเฝ้าดูทั้งอุตสาหกรรมที่แบรนด์ของคุณเกี่ยวข้องมีประโยชน์สองประการ: คุณจะสามารถรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลง และเทรนด์ที่กำลังมาแรงของตลาดนั้น ผู้นำตลาดมักจะมีบทวิเคราะห์ที่มีความน่าสนใจและเชื่อถือได้ การรับฟังสาส์นจากผู้เชี่ยวชาญย่อมช่วยให้ธุรกิจของคุณปรับตัวตามความเปลี่ยนแปลงได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที
  • ข้อความและการไปทั่วถึง – ในเครือข่ายสังคม การ “แชร์” เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่สร้างคุณค่าเพิ่มให้แก่สิ่งที่ถูกแชร์ได้อย่างดียิ่ง การเฝ้าดูว่าข้อความของคุณหรือที่เกี่ยวกับคุณแบบไหนถูกแชร์ไปมากแค่ไหน ย่อมสามารถบอกถึงจำนวนผู้บริโภคที่มีการรับรู้ในแบรนด์ของคุณ
  • รักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าในปัจจุบัน ส่งเสริมความสัมพันธ์กับลูกค้าในอนาคต – การสร้างความใกล้ชิดเป็นกิจกรรมที่เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าได้อย่างมาก ในขณะเดียวกัน การเฝ้าดูเครือข่ายสังคมทำให้สามารถรู้ได้ว่าใครที่น่าจะกำลังต้องการผลิตภัณฑ์ของคุณ ซึ่งหากคุณสามารถนำเสนอได้ตรงตามความต้องการจริงๆ ก็จะทำให้ลูกค้าใหม่ของคุณเกิดความประทับใจอย่างแน่นอน

มือถือ.! ช่องทางใหม่คนไทยใช้เน็ต-โซเชียล-ช๊อปปิ้ง


มองย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว (2010) เป็นปีที่มือถือมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดก็ว่าได้ ส่วนหนึ่งเพราะการเปิดตัวของAndroid OS ของ Google ทำให้ราคามือถือที่ใช้ Android OS จะมีราคาที่ถูกและคุณภาพที่สูงในระดับที่สามารถใช้มือถือแทนคอมพิวเตอร์พกพาได้เลยทีเดียว และแน่นอนเมื่อโทรศัพท์มีความสามารถสูงขนาดเทียบเท่าคอมพิวเตอร์พกพาได้ พฤติกรรมของคนไทยก็จะเปลี่ยนไป โดยพฤติกรรมที่เห็นได้ชัดในปีที่ผ่านมาจากสถิติของ “รายงานดัชนีชี้วัดในกิจการโทรคมนาคมของประเทศไทยประจำปี” ได้รายงานว่า อัตราส่วนการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านช่องทางโทรศัพท์มือถือมีอัตราส่วนมากกว่า 50% เลยทีเดียว นั้นหมายความว่าพฤติกรรมของคนไทยเริ่มชินกับการใช้อินเทอร์เนตผ่านโทรศัพท์มือถือกันมากขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงให้ Social Network เติบโตตามไปด้วยเช่นกัน และสอดคล้องกับสถิติล่าสุดจากทาง Facebook ได้รายงานว่ามีคนใช้ Facebook ผ่านมือถือทะลุ 150 ล้านคนไปแล้ว
เมื่อมองต่อไปข้างหน้า​ (2011) ไม่มีใครปฎิเสธได้ว่าการเติบโตของมือถือยังจะเติบโตไปอย่างต่อเนื่องพร้อมๆ กับเทคโนโลยีที่สูงมากขึ้นเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการสั่งซื้อสินค้าผ่านโทรศัพท์ การตัดเงินเวลาซื้อสินค้าผ่านโทรศัพท์ รวมไปถึงการใช้โทรศัทพ์ในการทำธุรกรรมออนไลน์ที่มากขึ้น
ผู้ประกอบการคนไทยหลายท่านอาจจะยังลังเลว่า “ทุกวันนี้คนไทยยังติดพฤติกรรมที่ไม่ยอมซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์อยู่รึเปล่า” จากตัวเลขผลสำรวจปีล่าสุดที่ผ่านมาทางเนคเทคได้รายงานว่าคนไทยนิยมช๊อปออนไลน์ 57.2% และเว็บ TARAD.com ได้รายงานสถิติปีที่ผ่านมาว่ามียอดการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 1,000% และผู้ซื้อสินค้าจะนิยมชำระเงินผ่านบัตรเครดิตเป็นอันดับ 1 จากสถิตินั้นหมายความว่า “คนไทยพร้อมแล้วกับการซื้อสินค้าออนไลน์” และเมื่อธุรกิจต่างๆ รู้ว่าผู้บริโภคพร้อมแล้วกับการซื้อสินค้าออนไลน์ ในปีนี้ธุรกิจต่างๆ ก็จะมีกิจกรรมมากมายที่ให้ร่วมสนุกผ่านช่องทางมือถือ หรือ เพิ่มช่องทางในการซื้อสินค้าผ่านช่องทางมือถือมากขึ้น
สิ่งที่สำคัญที่จะทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจในการซื้อสินค้าผ่านโทรศัพท์มือถือนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ การที่คุณจะเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคที่เริ่มชินกับการซื้อสินค้าผ่านเว็บมาซื้อสินค้าผ่านมือถือเป็นอะไรที่ท้าทายอยู่พอสมควร แต่วันนี้ผมมีเคล็ดลับเบื้องต้นง่ายๆ ที่ทุกคนก็สามารถเรียนรู้และทำตามได้อย่างไม่ยากเลยครับ

1.สร้างความเชื่อมั่น

การซื้อสินค้าออนไลน์ไม่ว่าจะผ่านเว็บไซต์หรือมือถือสิ่งที่อ่อนไหวที่สุดคือ “ความเชื่อมั่น” ถ้าผู้บริโภคไม่มีความเชื่อมั่นในเว็บของเรา การซื้อสินค้าจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน เช่น เว็บมีลิงค์ที่คลิกแล้วเข้าไม่ได้ (เสีย) บ่อยๆ, รูปภาพขาดๆ หายๆ, รวมไปถึงหน้าตาของเว็บที่เราจะเข้าไปซื้อสินค้านั้นดูแล้วไม่น่าเชื่อถือเอาซะเลย ปัจจัยเหล่านี้หลายคนอาจจะมองว่าไม่สำคัญแต่จริงๆ แล้วเป็นจริงที่เราไม่ควรจะมองข้ามเพราะก่อนผู้บริโภคจะซื้อสินค้านั้นถ้าเขาไม่ประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้ามาเว็บเราแล้วการจะปิดการขายก็จะยากขึ้น ส่วนวิธีการทำให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นก็มีหลายวิธีเช่นกันไม่ว่าจะเป็น
  • การออกแบบเว็บให้น่าเชื่อถือไม่มีการแสดงข้อความผิดพลาด
  • การออกแบบควรจะออกแบบให้เหมาะกับการใช้งาน เช่น ใช้งานผ่านมือถือ ปุ่มลิงค์ต้องใหญ่และชัดเจน, ไม่ใส่ตัวหนังสือเยอะเกินไป และต้องใช้งานให้ง่ายที่สุด
  • นำผู้บริโภคตัวจริงมาช่วยการันตีว่าเว็บนี้ปลอดภัยน่าเชื่อถือ (Testimonial)
  • ใช้แคมเปญทางการตลาดที่เข้าใจง่ายๆ เพื่อมาช่วยในการเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค เช่น สินค้าทุกชิ้นที่สั่งซื้อผ่านช่องทางมือถ้าไม่ถึงมือผู้บริโภคหรือเกิดปัญหาระหว่างการสั่งซื้อ ทางเว็บยินดีจ่ายเงินคืนตามจำนวนจริงทันทียอมจ่ายเพิ่มอีก 1 เท่า

2.สร้างความคุ้นเคย

เมื่อผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นแต่ก็ยังไม่พอ! เพราะผู้บริโภคยังไม่มีความ “คุ้นเคย” กับระบบการซื้อสินค้าผ่านมือถือนั้นเอง ทำให้จะเกิดปัญหาที่คาดการณ์ล่วงหน้าได้เลยเช่น “ซื้อผ่านมือถือทำไม่ในเมื่อซื้อผ่านเว็บก็ได้จะเสียเวลาเรียนรู้ใหม่ทำไม”, “มันดูหน้าเว็บแปลกๆ นะมีแต่ปุ่มเยอะแยะไปหมดแล้วจะซื้อของยังไงละเนี่ย” คำถามเหล่านี้จะเกิดขึ้นเสมอๆ สำหรับสิ่งใหม่ๆ เพราะผู้บริโภคคนไทยส่วนใหญ่จะมองไม่เห็นความสำคัญ (ในตอนแรก) ที่ทำไมเขาต้องเสียเวลาในเรียนรู้อะไรใหม่ๆ และเขาก็ไม่เห็นประโยชน์อะไรที่เป็นรูปธรรม ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้สามารถเปลี่ยนได้
เครดิต : http://mewic.wordpress.com/2011/01/18/social-mobile/#more-268

ดูเหมือนว่า บทบาทของ "คลิปวิดีโอ" บนโลกไอทีจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่เกิดเว็บไซต์เครือข่ายชุมชน (social networking) อย่าง "ยูทิวบ์" ที่ตอบโจทย์สาวกไซเบอร์ด้วยการยอมให้ใครต่อใครเข้าไปโพสต์คลิปวิดีโอแลกเปลี่ยนกันได้ ไม่ว่าจะเป็นภาพอุบัติเหตุรถชน เรื่องราวของนักร้องดัง "บริตนีย์ สเปียร์ส" หรือแม้แต่ชีวิตประจำวันของคนทั่วๆ ไป 
ต้องยอมรับว่า ในบรรดาคลิปวิดีโอจำนวนหลายล้านไฟล์ที่โพสต์อยู่บนเว็บเหล่านี้ มีคลิปที่มีประโยชน์อยู่ก็มาก แต่อีกจำนวนไม่น้อยก็เป็นคลิปวิดีโอที่ไม่ได้มีเนื้อหาเชิงสร้างสรรค์ และหลายกรณีก็ก่อให้เกิดปัญหาตามมา

แต่ปัจจุบันเริ่มมีบางเว็บนำแนวคิดการแชร์ไฟล์ภาพวิดีโอเหล่านี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น ด้วยการโพสต์วิดีโอที่มีเนื้อหาเชิงวิชาการ สารคดี การวิจัย และเรื่องราวต่างๆ ที่เป็นอาหารสมองให้แก่ผู้คนมากกว่าคลิปวิดีโอดาษดื่นที่หาได้จากเว็บ social networking ทั้งหลาย

"ลี โกเมส" จากวอลล์สตรีต เจอร์นัล รายงานว่า ขณะนี้มีเว็บไซต์หลายแห่งพยายามจะสร้างทางเลือกใหม่ให้กับผู้คน ด้วยการใส่เนื้อหาสาระลงไปในทีวีบนเว็บมากขึ้น หรือพูดง่ายๆ คือ พยายามจะเป็น "ยูทิวบ์ฉบับอุดมสาระ" นั่นเอง

"ฟอราดอททีวี" (Fora.tv) เป็นตัวอย่างหนึ่งของเว็บสายพันธุ์ใหม่นี้ที่พยายามจะทำความฝันดังกล่าวให้เป็นจริง โดยได้รับการสนับสนุนจากแหล่งทุนหลายแห่ง อาทิ "วิลล์ เฮิร์ตส" ทายาทธุรกิจสิ่งพิมพ์ชื่อดังและนักลงทุนที่คร่ำหวอดในธุรกิจเทคโนโลยี เพื่อสร้างสรรค์เว็บที่จะรวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับการปาฐกถาและบรรยายเชิงวิชาการของบรรดานักคิดในสหรัฐ รวมถึงกลุ่มองค์กรที่สร้างประโยชน์ ร้านหนังสือ ผู้ที่เป็นแบบอย่าง โดยจะนำเทปการบรรยายและการอภิปรายต่างๆ เหล่านั้นมาใส่ไว้ในโลกออนไลน์ เพื่อให้ง่ายต่อการเสิร์ชตามความสนใจ

เว็บพันธุ์สาระอีกรายหนึ่ง คือ ซี-สแปน (C-SPAN) เครือข่ายเคเบิลสาธารณะของสหรัฐที่ให้น้ำหนักกับเรื่องราวของการเมืองและนโยบายจากทำเนียบขาวเป็นหลัก

"ไบรอัน กรูเบอร์" ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารเว็บฟอราดอททีวี ซึ่งเคยทำงานในบริษัทเคเบิลทีวี "ซี-สแปน" มาก่อนหน้านี้ กล่าวถึงความต่างของเว็บทั้ง 2 แห่งข้างต้นว่า เว็บของฟอรามีขอบเขตที่กว้างกว่าซี-สแปน เพราะรวมความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ เทคโนโลยี และศิลปะเข้าไว้ด้วย

น่าสนใจว่าการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทำให้เว็บอีกหลายแห่งมีไอเดียที่คล้ายกันนี้อย่าง "รีเสิร์ช แชนเนล" ซึ่งรวบรวมงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยชั้นนำสหรัฐก็เริ่มที่จะเข้าถึงสาธารณะผ่านทางทีวีบนเว็บไซต์เหมือนกัน เพื่อจะนำเสนอผลงานวิจัยของทีมวิจัยในมหาวิทยาลัยให้เป็นที่รู้จัก เพราะปัจจุบันถือเป็นยุคทองของงานวิจัยที่มีอยู่มากกว่า 3,000 ชิ้น
แม้แต่ช่องเคเบิลจากตะวันออกกลางเจ้าของรายการ "โมเสก โชว์" ก็ยังเปิดตัว "Documentary Channel" เพราะหวังที่จะดึงกระแสความสนใจที่เพิ่มมากขึ้นนี้

สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนว่า ไม่ได้มีที่ทางเฉพาะแต่ผู้ที่ชื่นชอบวิดีโอฉบับสั้นๆ เท่านั้น หากแต่ยังมีทางเลือกให้กับคนที่ต้องการสารประโยชน์เพื่อบำรุงสมองเช่นกัน โดยช่องเคเบิลต่างๆ ก็หันมาหยิบเนื้อหาสาระเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเรื่องราวที่มีประโยชน์มานำเสนอกันมากขึ้น โดยเนื้อหาในเว็บเหล่านี้มักจะเกี่ยวกับความสนใจของผู้คนที่ปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์ทั่วไป

การปรากฏของเว็บไซต์อุดมสาระข้างต้นเท่ากับเป็นการขยายขอบเขตการนำเสนอของเว็บที่จะสร้างโอกาสให้กับผู้เล่นรายใหม่ๆ ในตลาดเฉพาะกลุ่ม เพราะการทำเว็บแบบนี้สุดแสนจะง่าย เพียงแค่มีคอมพิวเตอร์และเว็บแอดเดรสก็สามารถสร้างทีวีบนเว็บได้แล้ว 
แต่เว็บไซต์รูปแบบเดียวกับ "ฟอราดอททีวี" ยังอยู่ในระยะตั้งไข่เดินเท่านั้น ยังไม่สามารถดึงดูดความสนใจได้มากเท่าที่ควร

"ทิโมธี โลแรง" ผู้อำนวยการฝ่ายรายการของรีเสิร์ช แชนเนล กล่าวว่า โดยเฉลี่ยแล้วแต่ละรายการจะมีคนในสหรัฐดูราวๆ 5,000 คนเท่านั้น

เพราะถึงแม้เว็บมากสาระอย่างฟอรา จะตั้งเป้าให้เป็นช่องของคนที่ต้องการอาหารสมอง เช่นเดียวกับที่ "อีเอสพีเอ็น" ตั้งใจจะเป็นช่องทีวีสำหรับคอกีฬา แต่ก็ยังติดปัญหาบางประการ อย่างประเด็นเรื่องการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่กำลังจะมาถึง ย่อมจะหนีไม่พ้นการแข่งขันจากค่ายยักษ์ใหญ่ ทั้งกูเกิลและยาฮู ที่ต้องหยิบยกเรื่องราวที่เป็นที่สนใจของสาธารณะมาเผยแพร่ ซึ่งก็ทำให้เว็บเกิดใหม่อาจจะสู้ไม่ได้

แต่ "กรูเบอร์" มองว่า ถึงฟอราจะไม่สามารถใส่วิดีโอจำนวนมหาศาลลงไปในเว็บไซต์ และคาดหวังให้ผู้คนเข้ามาดู แต่ฟอราจะนำจุดเด่นมาดึงความสนใจ โดยการจัดทำลิสต์สำหรับวิดีโอนำเสนอเรื่องราวต่างๆ และมีหัวข้อการบรรยายบอกไว้ เช่นเดียวกับตัวอย่างหนังในดีวีดี ซึ่งจะทำให้ ผู้ชมสามารถข้ามหัวข้อที่ไม่สนใจไปชมเฉพาะประเด็นที่ตัวเองสนใจ รวมทั้งดาวน์โหลดเนื้อหานำเสนอทั้งหมดมาไว้ฟังในภายหลังได้ด้วย

แม้จะเป็นเว็บสายพันธุ์ใหม่ที่ไม่ใช่กระแสหลัก แต่การเกิดขึ้นของเว็บอุดมสาระเหล่านี้ก็เป็นทางเลือกให้กับคนที่ต้องการอาหารบำรุงสมองได้ 
เสน่ห์ปลายจวักหญิงไทยแผ่ว แห่ใช้ ‘ผงปรุงรส’ ดันตลาดโต 5 พันล้าน

สยามธุรกิจ - เปิดเส้นทางผงปรุงรส 5 พันล้านบาท กระแสตลาดพลิกผันจากผงชูรสเป็นผงปรุงรส เผยเสน่ห์ปลายจวักหญิงไทยหดหายขึ้นทุกวัน จนสู่ยุคผงปรุงสำเร็จ “ยูนิลีเวอร์” สบช่องประเดิมเมนูยอดฮิต เอาใจกลุ่มแม่บ้านยุคใหม่ ชูสะดวก ทันใจกว่า ด้านเจ้าตำนานผงชูรส เดินหน้า 360 องศา ส่ง “อูมามิ” ฟื้นภาพพร้อมส่ง 5 เมนูเด็ดรับเทรนด์ผู้หญิงทำงาน ในขณะข้อมูลโภชนาการชี้อร่อยที่ปากแต่อันตรายทั้งชีวิต
หากกล่าวถึง “ปรุงรส” ชื่อ “อายิโนะ โมะโต๊ะ” ถือเป็นตำนานของกลุ่มผลิตภัณฑ์ปรุงรสที่เริ่มต้นจากกลุ่มผงชูรส เมื่อ 50 ปีมาแล้ว แต่เมื่อปี 2522 อายิโนะโมะโต๊ะก็พบว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป โดยเริ่มหลีกเลี่ยงการใช้ผงชูรสมากขึ้น แบรนด์ “รสดี” จึงเกิดขึ้น เป็นกลุ่มผงปรุงรสจนกลายเป็นตลาดที่แข่งขันกันอย่างร้อนแรงในปัจจุบัน ด้วยมูลค่า ตลาดรวมที่มีอยู่กว่า 5 พันล้านบาท เติบโตกว่า 10% ในปีที่ผ่านมา
แต่เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมาก็มี “รสเด็ด” จากทาง ไวไวเข้ามาเป็นผู้เข้าแข่งขัน รวมทั้งอีกหลายแบรนด์ แต่ยังไม่สามารถบุกตลาดที่เหนียวหนึบจากทั้งสองแบรนด์เก่าได้ จนปัจจุบันวิวัฒนาการของผงปรุงรสได้ก้าวเข้าสู่ความสะดวกมากกว่าเพิ่มรสชาติ ด้วยการแนะนำ ผงปรุงสำเร็จมาขยายโอกาส
ชิงดำกระแสผงปรุงสำเร็จ
ปี 2555 เป็นปีที่ทั้งคนอร์ และรสดี มีการแนะนำสินค้าในกลุ่มใหม่ในเวลาที่ใกล้เคียงกัน โดยศึกใหญ่ในปีนี้ เทไปที่กลุ่มผงปรุงสำเร็จ ซึ่งกลายเป็นตลาดใหม่ในครัวคนไทยในปีนี้
นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานกรรมการบริหาร ธุรกิจอาหารและไอศกรีม บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คนอร์ เปิดเผยว่า จากการสำรวจตลาดของรีเสิร์ชอินเตอร์เนชั่นแนล พบว่า คนไทยนิยมทานข้าวในบ้านมากกว่า 90% และแม่บ้านกว่า 51% ต้องทำงานนอกบ้านจึงไม่มีเวลาที่จะทำอาหาร ไทยเมนูยากๆ ซึ่ง 10 อันดับเมนูที่นิยมทำรับประทานกันในบ้านคือ ไข่เจียว ผัดผัก ปลาทอด ต้มจืด ผักลวก ผักจิ้ม แกงส้ม ผัดกะเพรา หมูทอด ต้มยำ และน้ำพริก 
“คนอร์” จึงเล็งเห็นช่องทางการขยายตลาด ด้วยการแนะนำ “คนอร์ สูตรสำเร็จ” เพื่อเป็นการขยายกลุ่มสินค้าให้หลากหลายมากขึ้น จากเดิมที่มี ซุปก้อน ซุปผง และโจ๊ก โดยมุ่งหวังให้ คนอร์สูตรสำเร็จ เป็นธุรกิจขาที่ 4 ของคนอร์ เช่นเดียวกับที่ประสบความสำเร็จ มาแล้วในต่างประเทศ เช่น เยอรมนี
คนอร์สูตรสำเร็จ เริ่มต้นแนะนำที่ 4 สูตร คือ แกงส้ม แกงเขียวหวาน ราคา 19 บาท และเมนู พะโล้ ต้มยำ ราคา 15 บาท เนื่องจากเป็นเมนูที่ทำค่อนข้างลำบากและต้องมีเครื่องปรุงเครื่องเคียงมาก ซึ่งเมนูแกงทั้ง 4 ชนิดนี้ เป็นเมนูยอดฮิตที่คนไทยบริโภครวมกันมากกว่า 1,500 ล้านจานต่อปี ซึ่งบริษัทคาดหวังตลาดในกลุ่มนี้ประมาณ 200 ล้านจานในช่วงแรก 
ทั้งนี้ จะใช้งบตลาดมากกว่า 100 ล้าน บาทในการทำตลาดครบวงจร ทั้งการเปิดตัวหนังโฆษณา สื่อสนับสนุนอื่นๆ การแจกสินค้าตัวอย่าง 1 ล้านถ้วย แจกผลิตภัณฑ์ขนาดจริง 3 ล้านซอง เปิดคอมมูนิตี้มอลล์ทางเว็บไซต์ โดยคาดว่าปีนี้คนอร์จะมียอดขาย รวมกันเติบโตไม่ต่ำกว่าการเติบโตของตลาดรวมหรือ 2 หลัก ส่วนปีที่แล้วที่เติบโต 18%
ด้านกลุ่มผงปรุงรส คนอร์ได้จัดแคมเปญ “เฮง เฮง เฮง 2 อร่อยสุดคุ้ม ลุ้นทอง 100 เส้น กับคนอร์ รสทิพ” เป็นแคมเปญชิงโชคที่ประสบความสำเร็จในปีที่ผ่านมา ด้วย การส่งซองเปล่า ผลิตภัณฑ์ผงปรุงรส ตราคนอร์ รสทิพ รสไก่ รสหมู หรือ ผงรสมะนาว ตราคนอร์ ส่งมาลุ้นชิงรางวัลสร้อยคอทองคำ หนัก 1 สลึง จำนวน 100 รางวัล กับยูนิลีเวอร์ ฟู้ดโซลูชั่นส์ เริ่มตั้งแต่วันนี้ จนถึง 30 เมษายน 2555 โดยปีที่ผ่านมากลุ่มผงปรุงรสและซุปก้อนคนอร์ เติบโต 9%
รสดีเกทับ 5 เมนูคู่ครัวไทย
ด้านบริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2555 บริษัทได้เดินหน้ากิจกรรมด้านการตลาด แบบ ครบวงจร (Integrated Marketing Communication) สำหรับผงชูรส “อายิโนะโมะโต๊ะ” โดยใช้การสื่อถึงรสชาติ “อูมามิ” ที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2553 ต่อเนื่องเป็น เฟสที่ 5 เพื่อตอกย้ำการรับรู้และความเข้าใจของผู้บริโภคว่า “อูมามิ” เป็นรสชาติที่มาจากธรรมชาติ และเข้าใจถึงภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ในทางที่ดีขึ้น
นอกจากนั้น ยังแนะนำผงปรุงรสสำเร็จ สำหรับใช้ทำอาหารเฉพาะเมนู 5 รสชาติ อาทิ เครื่องพะโล้สำเร็จรูปชนิดผง (ขนาด 60 กรัม/ 15 บาท และ 130 กรัม/30 บาท) เครื่องต้มยำสำเร็จรูปชนิดผง (ขนาด 60 กรัม/15 บาท) 
“ชูรส” ความเหมือนที่แตกต่าง
ขณะเดียวกันในวงการโภชนาการให้คำจำกัดความของผงชูรสคือ วัตถุปรุงแต่งอาหาร ที่เกิดจากวัตถุดิบทางธรรมชาติ เช่น มันสำปะหลัง อ้อย นำมาผ่านกระบวนการทางเคมีเพื่อให้เกิดการตกผลึก กลายเป็นผงชูรส ส่วนผงปรุงรส คือการนำเอาเครื่องปรุงรสอาหารต่างๆ มาหมักรวมกับเนื้อสัตว์ แล้วนำไปต้ม จากนั้นจึงผ่านกระบวนการอบแห้ง จากนั้นจึงทำให้เป็นผง แต่ทั้งสองชนิดล้วนมี โมโนโซเดียมกลูตาเมต ผสมอยู่ในปริมาณที่ต่างกัน ผงชูรสคือโมโนโซเดียมกลูตาเมตล้วน แต่ผงปรุงรสมีโมโนโซเดียมกลูตาเมต ในปริมาณที่น้อยกว่าขึ้นอยู่กับแต่ละยี่ห้อ 
ประโยชน์ผงชูรสคือการเพิ่มความอร่อย แต่มีโทษหนักถ้ากินในปริมาณมากเกินไป กำหนดไว้ไม่ควรบริโภคเกิน 2 ช้อนชาต่อวัน หากบริโภคมากเกินไปผงชูรสจะไปทำลายสมองส่วนควบคุมการเจริญเติบโต และระบบสืบพันธุ์ของร่างกาย ทำลายระบบประสาทตา สายตาเสีย ก่อให้เกิดมะเร็งได้โดยเฉพาะอาหารที่หมักผงชูรสแล้วนำไปปิ้ง ย่าง นอกจากนี้ ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ถ้าบริโภคมากเกินไปจะผ่านเยื่อกั้นระหว่างรกภายในร่างกายของผู้เป็นมารดากับทารกในครรภ์ได้ ทำให้ทารกในครรภ์ได้รับผลกระทบจากผงชูรสด้วย


แต่เครื่องปรุงรสอาหาร ตราปุ้ยเก่ง ไม่ใช่ผงชูรส แต่เป็นเครื่องปรุงรสอาหารที่ปลอดภัยเพราะทำจากวัตถุดิบที่มาจากธรรมชาติ ส่วนประกอบที่สำคัญมาจากถั่วเหลือง ได้รับการรับรองจาก อย. ว่าปลอดภัย เป็นเครื่องยืนยันได้เลยว่าผลิตภัณฑ์ ปุ้ยเก่ง นั้น เหมาะกับ แม่บ้าน ยุค ใหม่ ที่ต้องการเวลาที่สะดวก ประหยัด อร่อย และปลอดภัย กับ สุขภาพ 

เป็นภลิตภัณฑ์ ที่ทำจากถั่วเหลือง
ทึ่ง! มหัศจรรย์แห่งถั่วเหลือง...ข้อจำกัดไม่รู้จบ 

 "ถั่วเหลือง"พืชตระกูลถั่วที่เรารู้จักกันดี ปัจจุบันได้รับความนิยมในการบริโภคกันอย่างแพร่ เนื่องจากมีประโยชน์ต่อร่างกายเพราะอุดมด้วยสารอาหารที่ช่วยบำรุงสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง แต่บทบาทสำคัญของถั่วเหลืองต่อสาวๆ ในยุคนี้ คือช่วยดูแลผิวพรรณ และคืนความขาวกระจ่างใสให้ผิว

            คนในแถบเอเชีย ที่เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าถั่วเหลืองมีคุณประโยชน์มากมาย จนได้ชื่อว่าเป็นมหัศจรรย์แห่งเมล็ดพืช ที่อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ เป็นทั้งแหล่งของสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและผิวพรรณ เช่น โปรตีนซึ่งมีส่วนประกอบถึง 50% แถมยังปราศจากคอเลสเตอรอล และยังอุดมไปด้วยวิตามินและกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงถึง 86-88% นอกจากนั้นในถั่วเหลืองยังมีสารไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งเป็นส่วนประกอบตามธรรมชาติที่พบได้ในพืช แต่มีคุณสมบัติที่คล้ายกับฮอร์โมนเพศหญิง ที่เรียกว่าเอสโตรเจน(Estrogen)ซึ่งช่วยในเรื่องของสุขภาพร่างกายและผิวพรรณ ทั้งในเรื่องของโรคกระดูกพรุน โรคมะเร็งและโรคหลอดเลือดหัวใจและยังมีส่วนช่วยในเรื่องของการฟื้นฟูสภาพผิวอีกด้วย

            ล่าสุดมีรายงานการวิจัยจากห้องปฏิบัติการ Asia-Pacific Skin Testing Center พบว่า โฟมล้างหน้าสูตรถั่วเหลืองสกัด(Essential Soy)สามารถช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสขึ้นได้ในเวลาเพียง 14 วัน และช่วยบำรุงสุขภาพผิวได้อีกด้วย เนื่องจากถั่วเหลืองมีโปรตีน กรดอะมิโนและไขมันที่ล้วนแล้วแต่มีคุณประโยชน์กับผิว ถือได้ว่าเป็นการเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้กับมหัศจรรย์แห่งเมล็ดพืชอย่างถั่วเหลือง ที่หลายคนอาจนึกไม่ถึงว่าจะสามารถช่วยดูแลให้ผิวกระจ่างใสได้

            ดร.สายรวี ศรีไชยยันต์ จากคณะเภสัชศาสตร์ คิงส์ คอลเลจ แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน(PhD, Pharmacy Department, King's College, University of London)กล่าวถึงสารสกัดจากถั่วเหลืองไว้ว่า สารสกัดจากถั่วเหลืองเป็นที่นิยมมากในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวในต่างประเทศค่ะ เพราะมีรายงานทางวิชาการยืนยันประสิทธิภาพว่า สามารถช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสขึ้นได้จริง ถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีเพื่อผิวขาวที่น่าสนใจ

            ทพ..อรุณี อุ่นสุข ทันตแพทยศาสตรบัณฑิต วิทยาศาสตรมหาบันฑิต อาจารย์พิเศษที่ปรึกษาด้านวิชาการที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับสารสกัดจากถั่วเหลืองว่า เคยอ่านงานวิจัยหลายชิ้นที่ตีพิมพ์ เผยแพร่เกี่ยวกับสารสกัดจากถั่วเหลืองไม่น่าเชื่อว่านอกจากถั่วเหลืองที่เรารับประทานเป็นอาหาร ทั้งในรูปแบบเมล็ด หรือน้ำนมถั่วเหลืองที่แสนอร่อย และมีคุณค่าทางโภชนาการที่สูงแล้ว สารสกัดจากถั่วเหลืองในรูปแบบที่ใช้เพื่อบำรุงสุขภาพผิวยังช่วยลดปัญหาเรื่องขนบนใบหน้าของสาวๆ และยังพบว่ามีประสิทธิภาพในการปรับผิวให้กระจ่างใสด้วย

            จะเห็นได้ว่า การใช้ประโยชน์จากถั่วเหลืองนั้นไม่ได้จำกัดแค่เพียงการรับประทานผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง หรือดื่มน้ำนมถั่วเหลืองเท่านั้น การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของถั่วเหลืองสกัด หรือเอสเซนเซียซอย เป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจในการดูแลผิวพรรณให้ขาวกระจ่างใส สุขภาพดีอีกด้วย 

V-PAT

หัวข้อที่เลือก

ได้คิดหัวข้อร่างขึ้นมาใหม่ เพราะเห็นได้ว่าหัวข้อที่ทำมานี้น่าสนใจกว่า 5หัวข้อแรกที่ได้เรียบเรียงไว้ และสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภค เป้าหมาย อย่าง กลุ่มวัยรุ่นที่ชอบ ดูคลิปวิดีโอตาม โซเชี่ยวเน็ทเวิร์คต่างๆ

หัวข้อใหม่คือ

การออกแบบคลิป video clip presentation : ผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสอาหาร ตราปุ้ยเก่ง พศ.2555

V.  คลิป video clip presentation

P. กลุ่มคนที่ชอบการทำอาหาร กลุ่มวัยรุ่นที่ทำอาหารไม่เก่ง 

A. บริษัท เงิน-สด ซีซันนิ่ง จำกัดผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องปรุงรสอาหาร ตราปุ้ยเก่ง

T. พ.ศ.2555-2556